วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง วัยรุ่นกับโภชนาการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ

วัยรุ่นกับโภชนาการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ 
อาหารและโภชนาการเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์  ที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรง  มีภาวะโภชนาการที่ดี   เพราะการได้รับสารอาหารที่เพียงพอ  ไม่มากไม่น้อยเกินไป
การเรียนรู้ถึงหลักของโภชนบัญญัติจะทำให้เราบริโภคอาหารในปริมาณที่เหมาะสม กับวัย   วัยรุ่นเป็นวัยที่เจริญเติบโตเร็วจึงควรบริโภคให้ถูกต้อง  เหมาะสมกับวัย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการสร้างเสริมสุขภาพ
อาหารและโภชนาการ 

๑. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ
การรับประทานอาหารนับเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรก  ซึ่งจำเป็นต้องมีความรู้ทางโภชนาการและอาหาร  เพื่อจะได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์  เหมาะสมกับร่างกาย   อันเป็นการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ
๑.๑ ความหมายของอาหารและโภชนาการ
อาหาร  หมายถึง   สิ่งที่รับประทานแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย  แต่หากสิ่งใดที่รับประทานเข้าไปแล้วไม่เกิดประโยชน์  จะไม่จัดว่าเป็นอาหาร  เช่น  เครืองดื่มแอลกอฮอล์  เป็นต้น
โภชนาการ  หมายถึง   เนื้อหาที่เป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับอาหาร  ซึ่งเรียกว่า “วิทยาศาสตร์การอาหาร” ระหว่างอาหารกับกระบวนการที่เกี่ยวกับสุขภาพ และ
การเจริญเติบโต
คุณค่าของอาหารต่อสุขภาพ
    1. ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต
    2. ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
    3. ให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย
    4. ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้ตามปกติ
    5. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
                         ๒.  ภาวะโภชนาการ
ภาวะโภชนาการ  หมายถึง   สภาพหรือสภาวะของร่างกายซึ่งมาจากการบริโภคอาหารซึ่งร่างกายนำอาหารที่ได้ รับไปใช้ประโยชน์ต่างๆ  เช่นการเจริญเติบโต  ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ  ตลอดจนช่วยให้อวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานได้ตามปกติ
                                ๒.๑  ประเภทของภาวะโภชนาการ
๑)  ภาวะโภชนาการที่ดี   คือ  การที่ร่างกายได้บริโภคอาหารในปริมาณที่เพียงพอ  ถูกสัดส่วน หลากหลาย  เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย
๒)  ภาวะโภชนาการที่ไม่ดี  หรือภาวะทุพโภชนาการ  คือ  การที่ร่างกายบริโภคอาหารในลักษณะที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย  ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ประเภท  ดังนี้
๒.๑)  ภาวะโภชนาการต่ำ  หรือ ภาวะขาดสารอาหาร  หมายถึง  ภาวะที่เกิดจากการบริโภคอาหารไม่เพียงพอ  หรือได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย  ทำให้มีสุขภาพไม่แข็งแรง  อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆได้ง่าย
๒.๒)  ภาวะโภชนาการเกิน  หมายถึง  ภาวะที่เกิดจากการบริโภคอาหารหรือสารอาหารที่เกินต่อความต้องการของร่างกาย
๓. โภชนบัญญัติและธงโภชนาการ
๓.๑ โภชนบัญญัติ  ๙  ประการ
โภชนบัญญัติ  เป็นข้อปฎิบัติการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย ๙  ประการ  ดังนี้
๑. รับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลายและดูแลน้ำหนักตัว
๒. รับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก  สลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ
๓. รับประทานพืชผักให้มากและรับประทานผลไม้เป็นประจำ
๔. รับประทานปลา  เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน  ไข่  และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ
๕. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย
๖. รับประทานอาหารที่มีไขมันแต่พอควร
๗. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด
๘. รับประทานอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน
๙. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ธงโภชนาการ 
ธงโภชนาการเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อให้คนไทยเข้าใจถึงปริมาณและความหลากหลายของ อาหารที่ควรรับประทานเพื่อให้มีสุขภาพดีตามหลักโภชนบัญญัติ  ๙  ประการ  โดยเน้นให้  “ กินพอดีและหลากหลาย ”  มีลักษณะเป็นธงสามเหลี่ยมแบบธงแขวนเอาปลายแหลมลง
n3-1_clip_image002
๔. หลักการเลือกอาหารที่เหมาะสมกับวัย
อาหารที่จำเป็นสำหรับทุกคน ซึ่งแต่ละคนต่างมีความต้องการอาการทั้งในด้านปริมาณและสารอาหารที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่การเจริญเติบโตเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบ ๕ หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอกับร่างการต้องการ
๔.๑ ประเภทของสารอาหารที่วัยรุ่นควรได้รับแต่ละวัน
วัยรุ่นควรได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนทั้ง ๕ หมู่และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน โดยในอาหาร ๑ อย่างนั้น อาจประกอบไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นประโยชน์ต่องร่างกายมากกว่า ๑ ชนิด ซึ่งสารอาหารในแต่ละวันที่ควรได้รับ มีดังนี้
คาร์โบไฮเดรต ข้าวแป้ง น้ำตาล เผือก และมัน ประโยชน์
ให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกายซึ่งคาร์โบไฮเดรต ๑ กรัม
ให้พลังงานประมาณ ๔ แคลอรี่ โปรตีน เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ไข่ นม และถั่วเมล็ดแห้ง ประโยชน์
๑. สร้างความเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้แก่ร่างกาย
๒. ให้พลังงานแก่ร่างกาย ซึ่งโปรตีน ๑ กรัม ให้พลังงาน ๔ แคลอรี่
- ไขมัน ไข่มันต่างๆจากพืชและสัตว์ ประโยชน์
๑. ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
๒. ช่วยป้องกักการกระทบกระเทือนของอวัยวะภายในร่างการ
- วิตามิน  แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท วิตามินที่ละลายไขมันได้แก่ วิตามินเอ และ วิตมินดี
ประโยชน์
๑. ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
๒. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกาย
วิตามิน แบ่งออกเป็น  ๒ ประเภท
๑) วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค วิตามินบี วิตามินซี แหล่งอาหาร ช่วยให้ร่างกาทำงานได้เป็นปกติ และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกาย
๒) เกลือแร่ แหล่งอาหารคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไอโอดีน และโซเดียม ประโยชน์ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่ากายให้เป็นไปตามปกติ และช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูก ฟัน เลือด เป็นต้น
น้ำ       ช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื่น ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดชื่น และช่วยในการย่อยและดูดซึมอาหารเข้าสู่ร่างกาย
                                ๔.๒ อาหารที่เหมาะสมสำหรับวัยรุ่น
วัยรุ่นนอกจากจะรับประทานอาหารทีมีคุณค่าให้ครบ ๕ หมู่ หรือได้รับสารอาหารให้ครบ ๖ ชนิด ในแต่ละวัน คือต้องรับประทานอาหารให้หลากหลาย หรือที่เรียกกันว่า “กินให้พอดี” และ “กินให้ครบ” อาหารที่วัยรุ่นควรรับประทานในปริมาณที่เพียงพอนั้น มีดังนี้
๑) ควรดื่มนมวันละ ๑-๒ แก้ว อาจเป็นนมวัวหรือนมถั่วเหลืองก็ได้ สำหรับวัยรุ่นที่มีน้ำนักเกินควรดื่มนมจืดหรือพร่องมันเนย แต่ไม่ควรดื่มในขณะท้องว่าง ควรดื่มหลังมื้ออาหาร หรือรับประทานอาหารว่างร่วมไปกับการดื่มนม
๒) รับประทานเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ให้เพียงพอต่อร่างกาย สำหรับวัยรุ่นควรรับประทานอาหารทะเลอย่างน้องสัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้ง และรับประทานเครื่องในสัตว์อย่างน้อยสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง
๓) รับประทานไข่ได้วันละ ๑ ฟอง แต่สำหรับวัยรุ่นที่เป็นโรคอ้วน หรือมีน้ำหนักมาก ควรรับประทานเฉพาะไข่ขาว และหลีกเลี่ยงขนมที่ทำจากไข่แดง เพราะในไข่แดงนันจะมีคอเลสเทอรอลสูง ซึ่งในขณะเดียวกันก็ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
๔) รับประทานพืชผักผลไม้ต่างๆ ให้เพียงพอต่อร่างกาย ผักสีเขียวมีใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายโดยนำคอเลสเทอรอลและสารพิษที่ก่อให้ เกิดโรคมะเร็งออกจากร่างกาย ผักจะช่วยในการเจริญเติบโตและเสริมสร้างให้ร่างกายทุกระบบทำงานได้ตามปกติ โดยควรรับประทานอาหารทุกมื้อวันละประมาณ ๑ ถ้วยตวง
๕) รับประทานอาหารประเภทแป้งให้พอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย ข้าวที่จะให้สารอาหารแก่ร่างกายดีที่สุด คือ ข้าวกล้องหรือข้าวขัดสีแต่น้อย ซึ่งวัยรุ่นควรรับประทานข้าววันละ ๕-๖ ถ้วยตวง ให้รับประทานข้าวเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ
๖) รับประทานอาหารที่ให้ไขมันพืชและสัตว์ให้พอเหมาะ ต่อร่างกายโดยวัยรุ่นควรรับประทานไขมันในปริมาณที่พอเหมาะไม่ควรเกิน ๓ ช้อนโต๊ะต่อวัน
๔.๓ ปัญหาสุขภาพจากการรับประทนอาหารของวัยรุ่น
การรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาและงดอาหารบางมื้อ วัยรุ่นควรรับประทานให้ครบทั้ง ๓ มื้อ คือมื้อเช้า กลางวัน และเย็น และควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลา เพราะร่างกายจะต้องใช้พลังงานจากอาหารเพื่อปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันในกรณีที่รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา กระเพาะอาหารจะทำการหลั่งน้ำย่อยออกมาโดยไม่ได้รับประทานอาหาร น้ำย่อยซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดจะกัดผนังกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดแผลได้ การรับประทานอาหารรสจัด ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในกระเพาะอาหาร ซึ่งมีผลทำให้เกิดการย่อยอาหารไม่เป็นไปตามปกติ และปวดท้อง ดังนั้นควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีรสจัดมากเกินเพื่อสุขภาพที่ดีของตน เองการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ การใช้เนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อวัว ในการประกอบอาหาร อาจทำให้เกิดโรคพยาธิต่างๆ ได้ เพราะในเนื้อสัตว์ที่ใช้ประกอบอาหารนั้นอาจมีพยาธิอาศัยอยู่ ซึ่งมีอันตรายต่อสุขภาพมาก
การดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำ น้ำอัดลมโดยส่วนมากประกอบไปด้วย น้ำ น้ำตาล แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ สารแต่งสี กลิ่น รส และคาเฟอีน ซึ่งหากได้ดื่มเป็นประจำร่างกายจะได้รับน้ำตาลมาก ทำให้มีระดับน้ำตาลสูงขึ้น อันจะนำไปสู่การเกิดโรคขาดสารอาหาร โรคฟันผุ และโรคอ้วนได้
.การรับประทานอาหารจานด่วน (Fast Food) ในปัจจุบันวัยรุ่นจำนวนมากนิยมรับประทานอาหารจานด่วน  เช่น  พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ แซนด์วิช เป็นต้น
การรับประทานอาหารจุบจิบ รับประทานจุ การรับประทานอาหารจุบจิบหรือการรับประทานโดยไม่พิจารณาถึงคุณค่าของอาหารและ ปริมาณอาหารที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไป เพราะฉะนั้นร่งกายก็จะได้รับอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล รงมถึงเกลือมากเกินความต้องการอนจะนำไปสู่การเป็นโรคอ้วนซึ่งมีผลทำให้เกิด โรคอื่นๆ ตามมาได้
๕.๑ ผลิตภัณฑ์อาหารที่ต้องมีฉลากตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
ผลิตภัณฑ์อาหารที่ต้องมีฉลากตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๑๙๔ พ.ศ. ๒๕๔๓ เรื่อง ”ฉลาก” กำหนดให้อาหารควบคุมเฉพาะ อาหารที่กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน อาหารที่รัฐมนตรีประกาศให้เป็นอาหารที่ต้องมีฉลาก และอาหารอื่นที่นอกเหนือจากอาหารกลุ่มดังกล่าวข้างต้น เป็นอาหารที่ต้องมีฉลาก
๕.๒ ข้อมูลโภชนาการบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร
ข้อมูลโภชนาการหมายถึง รายละเอียดต่างๆของผลิตภัณฑ์อาหารที่ผู้ผลิตและผู้นำเข้าหรือสั่งเข้าจะต้อง แจ้งรายละเอียดนั้นต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ซึ่งข้อมูลดังกล่าว จะปรากฎอยู่บนฉลาก จะรู้จักอ่านและเข้าใจความหมายของข้อมูลทางโภชนาการจะช่วยให้สามารถตัดสินใจ เลือกซื้อผลิตัณฑ์อาหารได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย
ข้อมูลที่ต้องการบนฉลากอาหาร
๑) ชื่อและประเภท หรือชนิดของอาหาร และสารระบบอาหารถ้ามี
๒) ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต หรือผู้แบ่งบรรจุ สำหรับอาหารที่ผลิตในประเทศอาจแสดงชื่อและที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิต หรือของผู้แบ่งบรรจุ หากเป็นอาหารที่นำเข้าต้องมีชื่อ ที่ตั้งของผู้นำเข้า และประเทศที่ผลิต แล้วแต่กรณี
๓) ปริมาณสุทธิของอาหารเป็นระบบเมตริก
- อาหารที่เป็นของแข็งให้แสดงน้ำหนักสุทธิ
- อาหารที่เป็นของเหลวให้แสดงปริมาตรสุทธิ
- อาหารที่มีลักษณะครึ่งแข็งครึ่งเหลวให้แสดงปริมาตรสุทธิ อาจแสดงเป็นน้ำหนักสุทธิ หรือปริมาตรสุทธิก็ได้
- อื่น ๆ แสดงเป็นน้ำหนักสุทธิ
๔) ส่วนประกอบที่สำคัญเป็นร้อยละน้ำหนักของปริมาณ เรียงตามลำดับปริมาณจากมากไปน้อย เว้นแต่
- อาหารที่มีเนื้อที่ของฉลากทั้งแผ่นน้อยกว่า ๓๕ ตร.ซม. แต่ทั้งนี้จะต้องมีข้อความแสดงส่วนประกอบที่สำคัญไว้บนหีบห่อของอาหารนั้น
- อาหารที่มีส่วนประกอบที่สำคัญแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่รวามถึงวัตถุเจือปนอาหาร วัตถุแต่งกลิ่น วัตถุปรุงแต่งอาหาร หรือสีผสมอาหารที่เป็นส่วนผสม
๕) ข้อความว่า ใช้วัตถุกันเสีย (ถ้ามีการใช้)
                                         ๖) ข้อความว่า เจือสีธรรมชาติ หรือ เจือสีสังเคราะห์ (ถ้ามีการใช้)แล้วแต่กรณี
๗) ข้อความว่า ใช้ เป็นวัตถุปรุงแต่งอาหาร (ที่เว้นไว้คือชื่อของวัตถุปรุงแต่งอาหารที่ใช้)
๘) ข้อความว่า ใช้ เป็นวัตถุที่ให้ความหวาแทนน้ำตาล
๙) วันเดือนปีที่ผลิต วันเดือนปีที่หมดอายุ กำกับไว้ด้วยแล้วแต่กรณี
- อาหารที่เก็บไว้ได้ไม่เกิน ๙o วัน ให้แสดงวันเดือนปีที่หมดอายุ
๑๐) คำแนะนำในการเก็บรักษา
๑๑) วิธีปรุงเพื่อรับประทาน
๑๒) วิธีและข้อความที่จำเป็นหรือสำหรับอาหารที่มุ่งหมายจะใช้กับเด็กทารกเด็กอ่อน หรือบุคคลกลุ่มไดไว้โดยเฉพาะ
๑๓) ข้อความที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนดให้ต้องมีสำหรับอาหารที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประกาศ กำหนด
๒) ข้อมูลโภชนาการที่แสดงบนฉลากอาหาร สำหรับข้อมูลโภชนาการที่แสดงบนฉลาก
ผลิตภัณฑ์อาหารนั้น ข้อมูลจะแตกต่างกันตามกลุ่มอาหาร ดังนี้
๒.๑) กลุ่มอาหารที่ไม่ต้องแสดงเครื่องหมาย อย. แต่ต้องแสดงฉลากให้ถูกต้อง
ตัวอย่างฉลาก
    1. ชื่ออาหารเป็นภาษาไทย
    2. รูปภาพให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ ถ้ามี
    3. น้ำหนักสุทธิ หน่วยเป็นระบบเมตริก เช่น กรัม กิโลกรัม
    4. วัน เดือน ปี ที่ผลิต
    5. วันเดือนปีที่ควรบริโภค
    6. คำเตือน
    7. ชื่อที่อยู่ผู้ผลิต โดยมีคำว่า ผลิตโดย นำหน้า
                                            ๒.๒) กลุ่มอาหารที่ต้องมีเครื่องหมาย อย.
๑) กลุ่มอาหารที่ต้องมีเครื่องหมาย อย. แต่ไม่ต้องส่งตัวอย่างอาหารไปตรวจวิเคราะห์
- อาหารที่ต้องมีฉลาก (ยกเว้นไส้กรอก แหนม หมูยอ กุนเชียง ลูกชิ้น)
- ไส้กรอก แหนม ลูกชิ้น กุนเชียง หมูยอ และผลิตภัณฑ์จำพวกเดียวกัน
๒) กลุ่มอาหารที่ต้องมีเครื่องหมาย อย. และ
๓) กลุ่มอาหารที่ต้องมีเครื่องหมาย อย. และต้องส่งตัวอย่างอาหารวิเคราะห์ ได้แก่ อาหารควบคุมเฉพาะทุกประเภท
ข้อมูลโภชนาการ
ดูที่หนึ่งหน่วยบริโภค ถ้ารับประทานตามปริมาณที่ระบุไว้ใน หนึ่งหน่วยบริโภค ก็จะได้รับพลังงานและสารอาหารต่าง ๆ ถ้าต้องการทราบว่าอาหารที่รับประทานอาหารเข้าไปนั้น ให้พลังงานเท่าไร ให้ดูตรง คุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
ถ้าต้องการทราบว่าได้รับสาร เช่น ไขมัน แคลเซียม คิดเป็นร้อยละเท่าไร ให้ดูตรง ร้อยละและปริมาณที่แนะนำต่อวัน ถ้ารับประทานอาหารหมดกล่อง ก็จะได้รับพลังงานอาหารนั้นแล้วจะได้รับสารอาหารเท่ากับจำนวนตัวเลขที่ แสดงอยู่ใน คุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค โดยต้องสังเกตจำนวนหน่วยโดยจำนวนบริโภคต่อกล่อง  เลขสารบบอาหารในเครื่องหมาย อย.
สารบบอาหาร คือ เลขประจำตัวผลิตภัณฑ์อาหาร ๑๓ หลัก แสดงอยู่ภายในเครื่องหมาย อย. โดยถูกนำมาใช้แทนตัวอักษรและตัวเลขในกรอบเครื่องหมาย อย. แบบเดิม ช่วยให้เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบได้ง่ายขึ้น โดยส่วนใหญ่เลขสารบบอาหารจะปรากฏอยู่บนฉลากของอาหารควบคุมเฉพาะ อาหารที่กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน และอาหารที่ต้องมีฉลาก แต่ก็จะมีอาหารบางชนิดที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าว อาทิ เกลือบริโภค และอาหารกลุ่มที่มีระดับความเสี่ยงต่ำมาก ได้แก่ อาหารที่อยู่นอกเหนือกลุ่มอาหารที่อยู่ข้างต้น ที่ฉลากไม่ต้องแสดงเลขสารบบอาหารเพียงแค่ผลิตปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่กฎหมาย อนุญาตในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ กำหนดเท่า สำหรับรายละเอียดของเลขสารบบอาหาร ๑๓ หลักนี้ จะแบ่งออกเป็น ๕ กลุ่ม
 ๖. การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับวัยรุ่น
วัยรุ่นนอกจากจะต้องบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการแล้วยังจำเป็นที่จะต้อง รู้จักเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ  เช่น  เครื่องสำอาง   อาหารเสริม  และยารักษาโรค  ให้ถูกต้องเหมาะสมโดยมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้น  เป็นอย่างดี  และที่สำคัญควรจะดูสัญลัษณ์ที่แสดงว่าผ่านการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา  หรือหากมีปัญหาหรือข้อสงสัยก็ควรปรึกษาขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนที่จะ ตัดสินใจเลือกใช้
๖.๑ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  เป็นคำที่สำนักงานคณะกรรมการ
อาหารและยา(อย.)บัญญัติขึ้นใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ที่คาบเกี่ยว ระหว่างอาหารและยาหรือผลิตภัณฑ์อาหารที่มีรูปร่างแตกต่าง จากอาหารปกติ  ในอดีต  อาหารกลุ่มนี้มักใช้ชื่อว่า”อาหารเสริม”
ข้อเท็จจริงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงของตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  ดังนี้
นมผึ้ง จากการศึกษาทางเภสัชวิทยาในสัตว์ทดลองเมื่อรับประทานนมผึ้งจะทำให้เกิดฤทธิ์ ต้านเชื้อแบคทีเรีย  ลดความดันโลหิต  ลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
ซุปไก่สกัด ประโยชน์ที่ได้จากซุปไก่คือโปรตีน  ซึ้งมีอยู่ประมาณร้อยละ๘.๘ของปริมาณที่บริโภคซึ้งราคาของผลิตภัณฑ์ในจำนวน เงินเท่ากันสามารถไปซื้อเนื้อสัตว์มาบริโภคได้ในปริมาณที่มากกว่า
สาหร่าย  ยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันประสิทธิภาพที่แน่นอนสำหรับคุณค่าทาง โภชนาการพบว่ามีโปรตีนร้อยละ ๖๐ แต่ถือเป็นโปรตีนคุณภาพต่ำมีกรดนิวคลีอิกร้อยละ ๔ ซึ้งมีอันตรายสำหรับผู้เป็นโรคเก๊าท์หรือมีแนวโน้มจะเป็นเก๊าท์
๖.๒  ยาลดความอ้วน
วัยรุ่นมักมีความกังวลในเรื่องน้ำหนักของเองบางคนที่มีน้ำหนักเกินก็พยายาม หาวิธีทำให้ตนเองมีน้ำหนักลดลงและเห็นผลอย่างรวดเร็วอาหารเสริมลดความอ้วน ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ได้ ดังนี้
๑. ทำให้เกิดอาการท้องเดินซึ่งส่งผลเสียต่อเยื่อบุกระเพาะอาหา รอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
๒. ส่งผลต่อระบบประสาทมีฤทธิ์กระตุ้นให้เกิดการทำงาน
ทำให้มีอาการใจสั่น  กระวนกระวาย  นอนไม่หลับ  และติดยาได้ในที่สุด
๓. ทำให้ได้รับสารอาหารไม้ครบถ้วนซึ้งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคขาดสารอาหารได้ ที่ดีหากต้องการลดความอ้วนไม่จำเป็นต้องใช้ยาควรหันมาเลือกรับประทานอาหาร ที่ให้แคลอรีต่ำแต่ได้สารอาหารครบถ้วนควบคู่ไปกับการออกกำลังกายจึงจะเป็น วิธีที่เหมาะสมมากกว่า
สรุป
อาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการช่วยเสริมสร้างร่างกายให้มีการเจริญเติบโตและการ มีสุขภาพที่ดีถ้าร่างกายได้รับอาหารที่ถูกต้องเหมาะสมวัยตามหลักโภชนา บัญญัติตลอดจนรู้จักเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อความปลอดภัยต่อการบริโภคด้วย แล้วก็จะส่งผลให้ร่างกายมีภาวะโภชนาการที่ดีโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารหรือยาลดความอ้วนแต่อย่างใดในทางตรงกันข้ามหากร่างกายได้รับอาหาร ที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเกินความต้องการหรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่าง กายก็จะส่งผลให้มีภาวะโภชนาการที่ไม่ดีโดยมีทั้งภาวะโภชนาการเกินและภาวะ โภชนาการต่ำซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้
1_5

หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การป้องกันการถูกล่วงละเมิดทางเพศ

วิธีป้องกันภัยล่วงละเมิดทางเพศ

สังคมรอบตัวในปัจจุบันนี้นับว่าเป็นสังคมที่ ค่อนข้างมีอันตรายแอบแฝงอยู่รอบด้าน โดยเฉพาะกับผู้หญิงด้วยแล้วนับได้ว่ามีภัยอันตรายมากมายที่จำเป็นต้องระวัง ตัวกันให้ดี โดยเฉพาะการถูกล่วงละเมิดทางเพศก็เป็นอีกภัยหนึ่งที่ยังมีให้เห็นกันอยู่อย่างต่อเนื่องทั้งที่เป็นข่าวหรือไม่เป็นข่าว วันนี้เรามีวิธีป้องกันตัวจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ มาฝากกัน เพราะจริงๆเรื่องนี้ก็ควรเป็นเรื่องที่รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า ภัยของการถูกล่วงละเมิดทางเพศจะมาหาเราหรือไม่ เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นการเสียหายเลยถ้าหากผู้หญิงอย่างเราจำเป็นต้องรู้วิธีการที่ควรปฏิบัติเมื่อถูกล่วงละเมิดทางเพศเอาไว้บ้าง
e0b882e0b988e0b8a1e0b882e0b8b7e0b8996-189x300
การป้องกันตนเองจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่รัดกุม เรียบร้อย  มีบางคนอาจคิดว่ามันเชยสิ้นดี แต่เชื่อเถอะว่า คุณสามารถแต่งตัวตามสมัยนิยมได้แต่ไม่ควรเลือกเครื่องแต่งกายที่ล่อแหลม โดยแต่งให้ถูกกาลและเทศะด้วย อย่าให้โป๊หรือเปิดเผยจนเกินไป ยิ่งแต่งกายรัดกุมมากเท่าไหร่ อันตรายจากากรถูกล่วงละเมิดทางเพศก็ยิ่งลดลงเท่านั้น
2. ไม่ควรเดินในสถานที่เปลี่ยวในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซอยลึก แต่ถ้าจำเป็นควรจะมีเพื่อนไปด้วย เพราะการถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้นโดยมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เปลี่ยว และในยามวิกาล เสียเป็นส่วนใหญ่
3. เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ควรเปลี่ยนเส้นทางการเดินหรือพยายามเดินเข้าไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านมี แสงไฟ  แต่ถ้าหากจวนตัวแล้วให้กดกรี่งหรือส่งเสียงไปบ้านใครก็ได้ หรือตะโกนเสียงดังๆเช่นไฟไหม้  หรือส่งเสียงเพื่อเรียกร้องความสนใจให้คนละแวกนั้นได้ยิน เพื่อป้องกันการถูกล่วงละเมิดทางเพศ
4. งดไปงานกลางคืน แต่สมัยนี้คงเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นเวลาออกไปไหนเวลากลางคืนควรแจ้งให้ทางบ้านทราบและรับรู้ว่า ไปที่ไหน ไปกับใคร และจะกลับเมื่อไหร่ อย่างไร  หรือควรมีคนที่เราไว้ใจได้ไปด้วยกัน หรือไม่ก็ไปรอรับกลับบ้านด้วย
5. ไม่ควรขึ้นรถไปกับคนแปลกหน้า หรือเมื่อมีคนแปลกหน้ามาจอดรถชวนคุยก็ให้ ดูสถาณการณ์ให้ดี อย่ามีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีจนเกินไปนัก และทางที่ดีไม่ควรเข้าใกล้ตัวรถ เพราะอาจถูกฉุดขึ้นไปกับรถเพื่อล่วงละเมิดทางเพศได้
6. ไม่ควรรับอาหาร หรือ น้ำ ของกินทุกชนิดจากคนแปลกหน้ามารับประทานโดยเด็ดขาด
7. ผู้หญิงเราสมัยนี้ควรหาเวลาฝึกฝนวิชาศิลปการป้องกันตัวเอาไว้บ้าง เช่น ยุโด เทควันโด มวยไทย มวยสากล เพื่อป้องกันตัวเองยามถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยควรตั้งใจเรียนรู้ไม่ใช่ไปเรียนเพื่อให้ดูโก้เก๋แต่เพียงอย่างเดียว
8. ควรพกพาสิ่งของที่สามารถใช้เป็นอาวุธเพื่อเอาไว้ป้องกันตัวเองได้ เพราะจะช่วยขัดขวางคนร้ายให้ปฏิบัติการล่วงละเมิดทางเพศเราได้ยากขึ้น และเพิ่มโอกาสการหนีของเราให้สูงขึ้นได้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ คือ วิธีการคร่าวๆที่จะป้องกันเราจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ผู้หญิงควรจะต้องรู้เอาไว้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัวนั้น จริงๆแล้ว การล่วงละเมิดทางเพศนั้นแอบแฝอยู่รอบๆตัวของผู้หญิงมากกว่าที่คิดไว้
download

หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง วัยรุ่น และพัฒนาการ ทางเพศ

วัยรุ่นและพัฒนาการทางเพศ
                   วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย  จิตใจ  อารมณ์  ตลอดจนพัฒนาทางเพศอย่างรวดเร็ว  ซึ่งทำให้วัยรุ่นเกิดความสับสนต่อการปฏิบัติตัวจึงมักเกิดปัญหา  เช่น  การเบี่ยงเบนทางเพศ  การมีพฤติกรรมทางเพศที่ผิดปกติ
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายของวัยรุ่น
                   1.  ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
                         1.1  วัยรุ่นชาย  การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เห็นได้ชัดได้แก่
                                1.  เริ่มมีหนวดเคราที่หยาบแข็ง  มีขนขึ้นบริเวณรักแร้  หน้าแข้ง  และอวัยวะเพศ
                                2.  อวัยวะเพศโตขึ้น  และมีการหลั่งน้ำอสุจิออกมาครั้งแรกขณะหลับเรียกว่า  “ฝันเปียก”
                                3.  หัวนมจะแข็งเป็นไตหรือก้อนเล็ก ๆ  ถ้าถูกสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ  เรียกว่า  “นมขึ้นพาน”  หรือนมตั้งพาน
                                4.  เสียงเปลี่ยนเป็นเสียงแหบและห้าว  เรียกว่า“เสียงแตกหนุ่ม”
                                5.  มีกลิ่นตัว  และสิวขึ้นตามใบหน้า  
                                6.  ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว  มีกล้ามเนื้อและกระดูกที่แข็งแรง  สะโพกแคบไหล่กว้าง  แขนขายาว  บางครั้งดูเก้งก้าง      
                         1.2  วัยรุ่นหญิง  การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เห็นได้ชัดได้แก่
                                1.  มีขนขึ้นบริเวณรักแร้และอวัยวะเพศ
                                2.  มีประจำเดือนหรือระดู
                                3.  เริ่มมีหน้าอกที่โตขึ้น
                                4.  มีเสียงแหลม
                                5.  มีกลิ่นตัวและสิวขึ้นบนใบหน้า
                         6.  มีใบหน้าสดใส  ผิวเปล่งปลั่ง
                                7.  สะโพกผายออก  เอวคอดเล็ก
                         1.2  การยอมรับและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
                                หลักการปรับตัวของวัยรุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
                                1.  ยอมรับและเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งของตนเองและเพื่อนเป็นเรื่องธรรมชาติ
                                2.  ดูแลรักษาอนามัยของตนเอง  ได้แก่  ผิว  เล็บ  ฟัน  เครื่องแต่งกายให้สะอาดอยู่เสมอ
                                3.  ดูแลใส่ใจสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง  กินอาหารให้ครบ  5  หมู่  พักผ่อนให้เพียงพอ  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  หลีกเลี่ยงสารเสพติด
                   2.  การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์ของวัยรุ่น
                         2.1  ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์
                                วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์อย่างรวดเร็ว  จึงมักถูกเรียกว่า  “เป็นวัยอลวน”  หรือ  “วัยพายุบุแคม”  โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้ 
                                1.  มีความเชื่อ  ค่านิยม  เจตคติเป็นของตนเอง
                                2.  อยากได้สิ่งใดหรือทำอะไร  มักต้องได้หรือกระทำทันที
                                3.  มีความมั่นใจในตนเอง
                                4.  อยากรู้อยากเห็นและอยากลอง
                                5.  อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล  
                                6.  รักในตนเอง  รักสวยรักงาม ชอบส่องกระจกดูความงามของตนเอง
                                7.  ชอบอิสระ  ไม่ชอบบังคับหรือมีกฎระเบียบ
                               8.  มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย  เพ้อฝัน  ขี้อาย  เริ่มสนใจเพศตรงข้าม  แต่จะไม่แสดงออก
                               9.  วัยรุ่นชายจะชอบความห้าวหาญ ชอบการต่อสู้  ผจญภัย  และคึกคะนอง
                                10.  เริ่มมีความต้องการทางเพศ
                   2.2  การยอมรับและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ
                         วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์อย่างรวดเร็ว  หากไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้อาจเกิดปัญหาทางจิตใจ  ดังนั้นวัยรุ่นจึงควรยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ  เพื่อการมีสุขภาพจิตที่ดีดังนี้
                         1.  ยอมรับรับสภาพความเป็นจริงของตนเอง  โดยรู้จักปล่อยวางในบางเรื่อง
                         2.  พยามยามสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง  กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา และพร้อมแก้ปัญหา
                         3.  รู้จักปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น  เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
                         4.  ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ  มองโลกในแง่ดี  คิดดี  ทำดี  ไม่จริงจังกับทุกสิ่งมากเกินไป ทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
                         5.  มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ดี  สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเอง  รวมถึงการยอมรับและเข้าใจในอารมณ์ของผู้อื่น 
                         6. ฝึกทำจิตให้สงบมีสมาธิ  ไม่คิดฟุ้งซ่าน  โดยจิตใจที่สงบและมีสมาธิจะช่วยทำให้เป็นคนที่มีเหตุผล  พร้อมแก้ปัญหาต่าง ๆ  ได้ดียิ่งขึ้น
                         7.  หลีกเลี่ยงจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่มีผลต่อจิตใจและอารมณ์  เช่น  การไม่คบคนพาล  เกเร  หลีกเลี่ยงจากสารเสพติด  การพนัน  เกมส์  เป็นต้น  
                   3.  พัฒนาการทางเพศของวัยรุ่น
                         3.1  อวัยวะสืบพันธ์ของเพศชายและเพศหญิง
                               1.  อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
                               — 1.1  ท่ออสุจิ  คือ  ทางเดินของน้ำอสุจิจากลูกอัณฑะสู่ท่อปัสสาวะ
                               — 1.2  ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ  คือ  ต่อมขนาดเท่าเม็ดถั่วลันเตา  หลั่งสารเมือกสำหรับหล่อลื่น  และส่งท่อเปิดเข้าสู่ท่อปัสสาวะในองคชาต 
                                — 1.3  องคชาต  คือ  มีลักษณะเป็นท่อหรือหลอดตั้งอยู่เหนือลูกอัณฑะ  ช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ
                               — 1.4  ต่อมลูกหมาก  คือ  ต่อมสร้างน้ำหล่อเลี้ยงเชื้ออสุจิ
                               — 1.5  ลูกอัณฑะ   คือ  มีลักษณะเล็กกลมจำนวน  2  ลูก  บรรจุอย่างหลวม ๆ  ในถุงอัณฑะ  เป็นแหล่งผลิตตัวอสุจิ
                   2.  อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
                         2.1  ท่อรังไข่หรือปีกมดลูก  คือ  ท่อขนส่งไข่จากรังไข่ไปยังมดลูก
                         2.2  มดลูก  เป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงตั้งอยู่ตรงฐานของช่องท้องมีรูปร่างคล้ายลูกแพร์ ขนาดใหญ่เท่ากำปั้น  ภายในกลวงเป็นโพรง  ตอนปลายแคบและชี้ลงเบื้องล่างเป็นอวัยวะที่ตัวอ่อนจะใช้เป็นที่เจริญเติบโต เป็นทารก
                         2.3  รังไข่  รังไข่แต่ละข้างจะตั้งอยู่ในปริเวณช่องท้องส่วนล่าง  โดยทำหน้าที่ปล่อยไข่ออกมาเดือนละใบสลับกัน
                         2.4  ปากมดลูก  เป็นกล้ามเนื้อที่บีบตัวเข้าหากันเป็นจังหวะ  แต่จะเปิดอ้าออกเล็กน้อยเพื่อให้ตัวอสุจิผ่านเข้าไปได้และจะยืดตัวอย่างเต็ม ที่  เพื่อให้ทารกเคลื่อนตัวผ่านออกไปในระหว่างการคลอด
                         2.5  ช่องคลอด  ปกติช่องคลิดจะแบนเรียบอยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะกบลำไส้ตรงแต่จะสามารถขยาย ตัวกว้างออกเพื่อรับองคชาตในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์หรือเพื่อเปิดทางให้ ทารกเคลื่อนตัวผ่านออกไปในเวลาคลอดได้
                         3.2  ต่อมควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางเพศ
                               1.  ต่อมใต้สมอง  เป็นต่อมที่สำคัญกว่าต่อมไร้ท่ออื่น ๆ  เพราะฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากต่อมนี้  จำทำหน้าที่ควบคุมการสร้างฮอร์โมน  มีลักษณะเป็นก้อนเล็ก  ๆ  เรียงซ้อนกันอยู่ตรงบริเวณใต้สมอง  แบ่งออกเป็นสองส่วน  
                         1.1  ต่อมใต้สมองส่วนหน้า  จะผลิตฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโต
ของร่างกายให้เป็นไปตามวัย  และผลิตฮอร์โมนในเพศหญิงเพื่อเร่งให้ไข่สุก  รวมทั้งทำหน้าที่ควบคุมรังไข่ให้ผลิตฮอร์โมนเพศหญิงออกมา  ตลอดจนกระตุ้นอัณฑะให้สร้างอสุจิและผลิตฮอร์โมนเพศชาย
                         1.2  ต่อมใต้สมองส่วนหลัง  จะผลิตฮอร์โมนที่จะกระตุ้นมดลูกให้บีบตัวขณะคลอดบุตรและควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
                   2.  ต่อมเพศชาย  คืออัณฑะ  มีหน้าที่
                         1.  ผลิตตัวอสุจิหรือเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย
2.  ผลิตฮอร์โมนเพศชาย  2  ประเภท  คือ
                               1)  ฮอร์โมนแอนโดรเจน  ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดลักษณะเฉพาะของความเป็นชาย  เช่น  การมีหนวดเครา  ขนหน้าอก  ขนรักแร้  ขนหน้าแข้ง  
                               2)  ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน  ทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดลักษณะเสียงห้าว  กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น  มีรูปร่างทรวดทรงเป็นชาย  มีการหลั่งน้ำอสุจิ  ตลอดจนพัฒนาการด้านจิตใจที่เป็นชาย  และมีความต้องการทางเพศ
                         3.  ต่อมเพศหญิง  คือรังไข่  มีหน้าสำคัญ  2  ประการ  ได้แก่
                                3.1  ผลิตไข่หรือเซลล์สืบพันธุ์ของเพศหญิง
                                3.2  ผลิตฮอร์โมนเพศหญิง  2  ประเภท  คือ
                                — 1)  ฮอร์โมนเอสโตรเจน  ทำหน้าที่  กระตุ้นให้เกิดลักษณะของเพศหญิง  ได้แก่  มีเสียงแหลม  ใบหน้าเปล่งปลั่ง  เอวคอด  มีหน้าอก  และสะโพกผาย
                               2)  ฮอร์โมนโพรเจสเตอรโรน  ทำหน้าที่  
                   2)  ฮอร์โมนโพรเจสเตอรโรน  ทำหน้าที่  ไปกระตุ้นการสร้างมดลูกให้หนาขึ้น  เพื่อรองรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว  และกระตุ้นการผลิตน้ำนมเมื่อมีทารก 
                   4.  ต่อมหมวกไต  เป็นต่อมที่มีลักษณะคล้ายหมวกครอบด้านบนของไตทั้ง  2  ข้าง  จึงมี  2  ต่อม  แต่ละต่อมแบ่งออกเป็น  2  ส่วน  คือชั้นนอกและชั้นใน  แต่ต่อมหมวกไตชั้นนอกเท่านั้นที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการทางเพศ  คือทำหน้าที่ ผลิตฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิง  คือ  เอสโตรเจน  โพรเกสเตอโรน  เทสโทสเตอโรน  และแอนโดสเตอโรน    โดยจะควบคุมความรู้สึกทางเพศ  ถ้าต่อมนี้มีความผิดปกติเด็กชายพัฒนาการทางเพศเร็วขึ้น  เด็กหญิงจะพัฒนาการทางเพศค่อนไปทางเพศชาย
                   5.  ต่อมไทรอยด์  อยู่ตรงส่วนบนของหลอดลมที่บริเวณลูกกระเดือก  มี  2  ส่วน  คือ  ด้านขวาและด้านซ้ายติดกัน  ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทรรอกซิน  ซึ่งควบคุมการใช้พลังงานและการเผาผลาญอาหาร
ถ้าต่อมนี้ทำงานผิดปกติจะทำให้ร่างกายแคะแกร็น  สติปัญญาต่ำ  อวัยวะเพศเจริญเติบโตไม่เต็มที่  เมื่อเพศหญิงเข้าสู่วัยสาว  ต่อมนี้จะขยายตัวเล็กน้อยในระหว่างที่มีประจำเดือนและระยะตั้งครรภ์  ซึ่งถือว่าปกติ  แต่ถ้าต่อมนี้ทำงานผลิตปกติคือผลิตฮอร์โมนได้น้อยกว่าที่ร่างต้องการเนื่อง จากขาดธาตุไอโอดีน  ต่อมนี้จะขยายตัวใหญ่ขึ้น  ทำให้เป็นโรคคอพอก
                   6.  ต่อมไทมัส  มีลักษณะเป็นพูทั้งสองพู  ติดกันอยู่ตรงบริเวณขั้วหัวใจระหว่างปอด  2  ข้าง
ทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้มีความรู้สึกทางเพศที่ผิดปกติ  ซึ่งขนาดของต่อมไทมัสจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุของคนจะผกผันตามอายุของคนทารกจะ ยาวแก่จะสั้น
                             3.3  การยอมรับและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางพัฒนาการทางเพศ
                   เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นการมีความต้องการทางเพศเป็นเรื่องปกติ  แต่ถ้าหมกมุ่นมากเกินไป  อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตได้
ข้อปฏิบัติต่อการยอมรับและปรับตัวต่อการพัฒนาการทางเพศ
                   1.  ศึกษาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศ
                   2.  ยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย  จิตใจ  อารมณ์  และพัฒนาการทางเพศของตนเอง
                   3.  รู้จักปฏิบัติตัวให้เหมาะสมต่อตนเองและเพศตรงข้าม
                   4.  รู้จักทักษะในการแก้ปัญหาทางเพศ
                   5.  หากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำ
                   6.  ดูแลสุขอนามัยทางเพศของตนเองให้ถูกต้อง  โดยการปฏิบัติดังนี้  อาบน้ำให้สะอาดและสวมเสื้อผ้าที่ซักแล้ว  เพื่อให้มีกลิ่นตัวสะอาด  เพื่อป้องกันการเกิดสิว  เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ  ขณะมีประจำเดือน  เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมม  และเมื่อเกิดปัญหาทางเพศควรไปพบแพทย์
                   7.  เมื่อมีปัญหาเรื่องเพศ  ควรปรึกษาพ่อแม่  หรือผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้  เพื่อให้ท่านชี้แนะแนวทางในการแก้ปัญหาที่ถูกให้ได้
                  4.  การเบี่ยงเบนทางเพศ
                   การเบี่ยงเบนทางเพศเป็นปัญหาทางเพศแบบหนึ่ง  ซึ่งพบได้ทั้งเพศหญิงเพศชาย  โดยบุคคลอาจแสดงออกถึงพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม  ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศหรือผิดปกติทางเพศขึ้น  ทำให้สังคมเกิดความรู้สึกถึงความไม่ถูกต้องตามบรรทัดฐานที่สังคมกำหนดไว้  ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น
                         4.1  สาเหตุของการเบี่ยงเบนทางเพศ
                                1.  การอบรมเลี้ยงดู
                               2.  การมีบุคลิกภาพที่แปรปรวนอันเนื่องมาจากจิตใต้สำนึกของตนเอง  เช่นการมีปมด้อย
                               3.  ความรู้สึกเก็บกดทางเพศ  
                               4.  สภาพแวดล้อม
                                5.  การเลียนแบบพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางเพศ
                         4.2  ลักษณะการเบี่ยงเบนทางเพศ
                                1.  ความแปรปรวนในเอกลักษณ์ทางเพศของตนเอง  หมายถึง  มีพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเพศของตนเอง  เช่นชายอยากเป็นหญิง  หญิงอยากเป็นชาย
                                2.  พฤติกรรมเบี่ยงเบนในการปฏิบัติทางเพศ  เป็นพฤติกรรมทางเพศที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไป  ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์  ที่พบเห็นบ่อยได้แก่
                                1.  ลักเพศ  คือ  บุคคลที่มีความสุขจากการแต่งตัว  แต่งหน้า  สวมใส่เสื่อผ้า  แสดงท่าทางของเพศตรงข้าม  
                                2.  ถ้ำมอง  คือ  บุคคลที่มีความสุขจากการแอบดู
                                3.  ชอบอวดอวัยวะเพศ  คือ  บุคคลที่มีความพึงพอใจหรือมีความสุขจาการเปิดเผยอวัยวะเพศของตนเอง ให้คนอื่นได้ดู
                                4.  การทำอนาจารเด็ก  คือ บุคคลที่มีความสุขกับการได้ร่วมเพศกับเด็ก
                                5.  เบียดเสียด  ถูไถ  คือ  บุคคลที่มีความสุขกับการได้ใช้อวัยวะเพศถูไถกับอวัยวะของเพศตรงข้าม
                                6.  ซาดิสม์  คือ บุคคลที่มีความสุขกับการกับการทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด
                                7. เพศร่วมสายเลือด  คือ  บุคคลที่มีความสุขกับการมีเพศสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัว
                                8. เพศกับวัตถุ  คือ  บุคคลที่มีความสุขกับการใช้สิ่งของในการระบายความใคร่
                                9.  ตัณหาจัด  คือ  มีความต้องการทางเพศสูงจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้  
                               10.  พูดจาลามก  เป็นการคุกคามทางเพศที่เป็นวาจา  
                               11.  การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองบ่อยครั้ง  การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองถือว่าเป็นเรื่องปกติแต่ถ้าหมกมุ่นมากเกินไป  จะถือว่ามีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ
                         4.3  การแก้ปัญหาพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ
                                1.  การสร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง
                                2.  การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง
                                3.  สถาบันการศึกษาควรมีหลักสูตรการเรียนการสอนในเรื่องเพศ
                                4.  การสร้างเครือข่ายทางสังคม  
                                5.  หลีกเลี่ยงการใช้การบังคับ
download (1)

หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง วัยรุ่นกับภาวะ การเจริญเติบโต ตามเกณฑ์มาตรฐาน

วัยรุ่นกับการเจริญเติบโตตามเกณฑ์มาตรฐาน
๑. ภาวะการณ์เจริญเติบโตและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของวัยรุ่น
การเจริญเติบโตของวัยรุ่นนั้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกบางคนเจริญเติบโตช้า บางคนเจริญเติบโตเร็วและในขณะที่บางคนมีการเจริญเติบโตที่สมวัย
๑.๑ ภาวะการเจริญเติบโตของวัยรุ่น  การเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น เป็นผลมาจากการทำงานของฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากตุ่มไร้ท่อ ซึ่งควบคุมกลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตที่เราสามารถสังเกตได้ มีดังนี้
๑.มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้ำหนัก ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น
ทำให้วัยรุ่นจำนวนมากไม่สามารถที่จะปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทัน จึงส่งผลให้เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ได้ง่าย
๒.เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ หรือมีวุฒิภาวะทางเพศ คือ ในวัยรุ่นชายจะมีการเคลื่อนตัว
ของอสุจิ ที่เรียกว่าฝันเปียก ส่วนในวัยรุ่นหญิงนั้นจะมีประจำเดือนตลอดจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่ บ่งบอกลักษณะเฉพาะของเพศหญิงและเพศชาย
๓.เริ่มมีการค้นหาตัวเอง โดยมีแรงจูงใจเป็นสิ่งสำคัญ ชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพัง
เมื่ออยู่บ้าน แต่ชอบร่วมกลุ่มเมื่ออยู่กับเพื่อน ซึ่งในวัยรุ่นนี้เพื่อนจะมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตอย่างมาก และในขณะเดียวกันการเชื่อฟังพ่อแม่ก็ลดน้อยลง
๔.เริ่มมีวิจารณญาณในการคิดและการตัดสินใจมากขึ้นสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดี
ไม่ดี
๕.ยึดตัวเองเป็นสำคัญ มีความคิด ความเข้าใจที่เป็นตัวเองมากขึ้น มักต่อต้านในสิ่งที่
ไม่ยุติธรรมจนทำให้บางครั้งเป็นผลทำให้เกิดช่องระหว่างวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่
๑.๒ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของวัยรุ่น
การที่วัยรุ่นมีการแตกต่างกันในการเจริญเติบโตและพัฒนาการนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย ๒ กลุ่ม ดังนี้
๑)ปัจจัยภายใน หมายถึง ปัจจัยที่มีอยู่แล้วภายในร่างกายของมนุษย์ แล้วส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น ประกอบด้วย
๑.๑)พันธุกรรม เป็นการถ่ายทอดลักษณะเฉพาะต่างๆ จากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน ทำให้มนุษย์มีลักษณะบางอย่างที่แตกต่างกันออกไปดังพันธุกรรมจึงเป็นเครื่อง กำหนดขอบเขต ลักษณะ และความสามารถของบุคคลซึ่งลักษณะทั่วไปของการถ่ายทอดทางพันธุกรรม มี ๒ ลักษณะซึ่งแยกแล้วได้ดังนี้
๑. ลักษณะทางกาย
๑.สัดส่วนของร่างกาย ความสูงหรือความเตี้ย รูปลักษณะภายนอก เช่น ผมหยิก ตาเล็ก สีของตา สีของผม ผิวขาว-ดำ เป็นต้น
๒.กลุ่มเลือดที่แตกต่างกันไป เช่น A,B,O และ AB เป็นต้น
๓.เพศ ซึ่งการเป็นเพศชายหรือหญิงนั้น ขึ้นอยู่กับโคโมโซม ที่ได้รับจากพ่อแม่
๔.ความผิดปกติและโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรค  โลหิตจางโรคด่างขาว โรคผิวหนังเกล็ดปลา เป็นต้น
๒.) ลักษณะทางสติปัญญา
พบว่าเด็กที่เกิดในตระกูลที่มีระดับสติปัญญาต่ำจะมีแนวโน้มของเชาว์ปัญญาที่ ต่ำไปด้วย แต่ก็ไม่เสมอไปทุกราย เนื่องจากพบว่าอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม การกระตุ้น และการเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ของเด็ก จะช่วยในการเพิ่มสติปัญญาเพิ่มมากขึ้นได้
๑.๒ พื้นฐานทางอารมณ์ จิตใจ
พบวาบุคคลที่มีพื้นฐานทางอารมณ์ จิตใจที่มั่งคง จะทำให้มีพัฒนาการทางด้านต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านร่างกาย สังคม บุคลิกภาพ หรือสติปัญญา โดยอารมณ์นั้นเป็นผลเนื่องมากจากพันธุกรรมและปัจจัยแวดล้อมภายนอกประกอบกัน ดั้งนั้นวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยซึ่งเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน ต่างๆ ภายในร่างกาย ค่อนค่างมาก จึงเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการขึ้นลงของอารมณ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากไม่สามารถปรับพื้นฐานของตนเองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ ก็จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการได้ในที่สุด
๒.) ปัจจัยภายนอก
หมายถึงปัจจัยที่เกิดขึ้นภายนอกร่างกายทั้งที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ หรือไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่ส่งผลต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของวัยรุ่น
๒.๑) การอบรมเลี้ยงดูและสัมพันธภาพ
ภายในครอบครัว
เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการด้านต่างๆของมนุษย์ โดยเริ่มตั่งแต่วัยทารก วัยเด็ก จนกระทั่งถึงวัยรุ่นเนื่องจากมีการซึมซับสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่
หรือผู้ปกครอง และการอยู่ในครอบครัวที่มีการอบรมเลี้ยงดูที่ดี มีความรัก ความเอาใจใส่ และความเข้าใจ ก็จะทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมทั้งวุฒิภาวะทางดานร่าง กาย อารมณ์ สังคม รวมถึงการมีบุคลิกภาพที่ดี ตลอดจนมีพัฒนาที่สมวัย สามารถใช้ชีวิตอยู่รวมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข แต่ถ้าหากครอบครัวขาดความอบรมเลี้ยงดูและมีสัมพันธภาพที่ไม่ดีแล้ว ก็จะส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การมั่วสุ่มของวัยรุ่น การเสพสารเสพติดหรือกามมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เป็นต้น
๒.๒) สภาพแวดล้อมทางสังคม
เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ในทุกด้าน หากมนุษย์อาศัยอยู่ในสภาพสังคมที่ดี เอื้ออำนวยต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ก็จะทำให้มีการเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย และมีพัฒนาการด้านอารมณ์ สังคม สติปัญญา บุคลิกภาพ และด้านอื่นๆ ดีตามไปด้วย แต่ถ้าต้องการเผชิญอยู่ในสังคมที่ไม่เหมาะสม เช่น อยู่ในชุมชนที่เสื่อมโทรม ครอบครัวแตกแยก ก็จะส่งผลให้เจริญเติบโตและพัฒนาการด้านต่างๆ ดำเนินไปได้ไม่ดีเท่าที่ควร
๒.๓ อาหารที่บริโภค
มีความสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นนั้น เป็นวัยที่ต้องการสารอาหารต่างๆ ที่ครบถ้วนทั้ง ๕ หมู่ และในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อช่วยทำให้ร่างกายและอวัยวะต่างๆ สามารถเจริญเติบโตได้อย่างสมวัย
๒.๔) การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย
จะช่วยให้เด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่สมวัย โดยช่วยในการเสริมสร้างกระดูกเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เสริมสร้างจิตใจให้แจ่มใสร่าเริงอันเป็นผลทำให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ ดีควบคู่กันไป
๒.๕) การเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ
ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้การเจริญเติบโตและพัฒนาการต่างๆ หยุดชะงักทั้งในลักษณะชั่วคราวหรือถาวรซึ่งอาจทำให้เกิดความพิการของร่างกาย เกิดผลกระทบทางอารมณ์ของผู้ป่วย รวมถึงส่งผลกระทบต่อสังคมรอบข้างโดยวัยรุ่นนับเป็นวัยที่มีความเสี่ยงต่อการ เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุได้ค่อนข้างมากเนื่องจากมีความคึกคะนองชอบเสี่ยง ชอบท้าทาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บได้โดยง่ายจึงควรต้องมีความระมัด ระวังในการดูแลสุขภาพและสวัสดิ์ภาพของตนเองมากเป็นพิเศษ
๒.) เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโต
เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตของคนเหล่านั้นจะพิจารณาจากน้ำหนักตัวและส่วนสูง เป็นหลักซึ่งนิยมนำมาใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการเปรียบเทียบเพื่อวิเคราะห์ ภาวะการเจริญเติบโตของวัยรุ่นในแต่ละคนว่ามีการเจริญเติบโตหรือมีพัฒนาการ ตามเกณฑ์มาตรฐานที่ควรเป็นหรือไม่หากไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานนั้นก็จะ ประเมินได้ว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงหรือมีปัญหาทางสุขภาพโดยจะต้องดำเนินการแก้ไข เพื่อให้มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ต่อเนื่องเหมาะสมกับเพศและวัยต่อไป สำหรับเกณฑ์มาตรฐานนี้จะมีการจัดทำขึ้นเป็นระยะๆเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพจริง ของเด็กไทยซึ่งมีอยู่ ๒ รูปแบบ คือ
๒.๑) เกณฑ์มาตรฐานที่เป็นข้อมูลตัวเลข
เป็นการแสดงข้อมูลออกมาเป็นตัวเลขว่าในกลุ่มอายุต่างๆนั้นควรมีน้ำหนักและ ส่วนสูงอยู่ในระดับจึงจะเหมาะสมโดยใช้ข้อมูลเกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโต ของกรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งได้กล่าวถึงน้ำหนักและส่วนสูงของเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นโดยนับตั้งแต่ อายุ ๗-๑๓ ปีเป็นสำคัญเนื่องจากเป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ต่อเนื่องกัน มาโดยดูได้ดังตาราง
การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานนี้ไม่ได้จัดทำเพียงครั้งเดียวแล้วใช้ได้ตลอดไปแต่จะมี การจัดทำเป็นระยะๆเพราะอัตราการเจริญเติบโตของเด็กไทยมีแนวโน้มที่จะเจริญ เติบโตเร็วขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับอดีตทั้งนี้อาจเป็นเพราะมีการรับประทาน อาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีการรณรงค์ให้เด็กดื่มนมหรือมีการ ออกกำลังกายบริเวณกล้ามเนื้อดังนั้นการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานของน้ำหนักและส่วน สูงจึงต้องจัดทำขึ้นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะการเจริญเติบโตที่เป็น ปัจจุบันของไทย
๒.๒) เกณฑ์มาตรฐานการที่เป็นกราฟและเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต
เป็นการนำข้อมูลตัวเลขมาแสดงด้วยกราฟโดยการจุดข้อมูลต่างๆลงบนกราฟแล้ว เชื่อมโยงข้อมูลแต่ละจุดเพื่อแสดงระดับการเจริญเติบโตและแนวโน้มที่เปลี่ยน แปลงไปซึ่งกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเพศชายและหญิง อายุ ๕-๑๘ ปี เพื่อใช้ในการประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น
images

หน่วยการเรียนรู้ที่ที่ 1 เรื่อง ระบบประสาทและระบบต่อไร้ท่อ

ความสำคัญของระบบประสาท และระบบต่อมไร้ท่อที่มีผลต่อสุขภาพ

ระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อมีผลต่อสุขภาพวัยรุ่น  การทำงานของระบบต่างๆในร่างกายของคนเรามีคความสัมพันธุ์กัน  ไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้ และการดำรงชีวิตของมนูษย์  ก็ขึ้อยู่กับการทำงานของระบบต่างๆ  ในร่างกายหากระบบใดระบบหนึ่งหรือหลายๆระบบทำงานได้ไม่ดี  ย่อมส่งผลให้สภาวะสุขภาพโดยรวมเกิดปัญหาขึ้นได้
  ระบบทุกระบบในร่างกาย  ล้วนแต่มีความสำคัญต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น  แต่ระบบที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์โดยเฉพาะในช่วง วัยรุ่นมากที่สุดนั่นก็คือ  ระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อ
ระบบประสาท ( Nervous System ) ระบบประสาทเป็นระบบที่ควบคุมการทำงานของส่วนต่างๆ  ทุกระบบในร่างกายให้ประสานสัมพันธุ์กัน  เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม  และสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน  คือ ระบบประสาทส่วนกลาง  และระบบประสาทส่วนปลาย
1. ระบบประสาทส่วนกลาง ( Central Nervous System )  ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง  ซึ้งเป็นศูนย์กลางในการประสานการทำงานของอวัยวะต่างๆ  ของร่างกาย  ให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.1   สมอง ( Brain ) เป็นอวัยวะที่สำคัญและสลับซับซ้อนมาก  ประกอบด้วยกลุ่มเนื้อเยื่อที่มีที่มีความอ่อนนุ่ม  บรรจุอยู่ในกะโหลกศรีษะ  มีขนาดใหญ่กว่าส่วนอื่นๆของระบบประสาทส่วนกลาง  สมองจะเริ่มเจริญเติบโตตั้งแต่เป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดา  พอช่วงอายุ 1- 9 ปี   สมองจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว  และจะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่ออายุ  18 – 20  ปี  โดยสมองแบ่งออกเป็น  3  ส่วน  ซึ่งมีมีหน้าที่แตกต่างกัน
1.2  ไขสันหลัง  ( Spinal  Cord )  เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทส่วนกลาง  อยู่ภายในช่องกระดูกสันหลังตลอดความยาวของลำตัว  ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย  เป็นตัวเชื่อมระหว่างอวัยวะความรู้สึกไปยังสมอง  และส่งความรู้สึกจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย  รวมถึงควบคุมการเจริญเติบโตของอวัยวะและส่วนต่างๆ  ที่มีเส้นประสาทไขสันหลังต่อสมอง
2 . ระบบประสาทส่วนปลาย  ( Peripheral Nervous System )  เป็นระบบประสาทที่เชื่อมต่อจากส่วนต่างๆ  ของสมองและไขสันหลัง  ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายซึ่งประกอบด้วย
2.1  ระบบประสาทสมองและไขสันหลัง
1.  เส้นประสาทสมอง มี  12 คู่ ทอดออกจากพื้นล่างของสมอง  ผ่านไปยังรูต่างๆ  ที่พื้นของกะโหลกศรีษะ  โดยเส้นประสาทสมองบางคู่จะทำหน้าที่รับความรู้สึก  บางคู่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว  และบางคู่จะทำหน้าที่รวม คือ  ทั้งรับความรู้สึกและทำการเคลื่อนไหว
2.  เส้นประสาทไขสันหลัง  เป็นเส้นประสาทที่ออกจากสันหลัง  มีจำนวนทั้งหมด  31  คู่  ทุกคู่จะทำหน้าที่รวมคือ  ทั้งรับความรู้สึกและทำการเคลื่อนไหว
2.2  ระบบประสาทอัตโนมัติ  ( Automomic Nerve System )  เป็นระบบประสาทที่ทำงานอยู่นอกเหนืออำนาจการบังคับ  และควบคุมของจิตใจ  ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้เป็นปกติ  เช่น  ควบคุมการไหลเวียนของโลหิต  การย่อยอาหาร  การหายใจ  การกำจัดของเสียออกจากร่างกาย  โดยระบบประสาทอัตโนมัติแบ่งเป็น  2  ส่วน
1. ระบบประสาทซิมพาเทติก  ( Sympathetic Nerve System )  เป็นระบบประสาทที่มีการทำงานแบบเกิดขึ้นทันทีทันใด เช่น  ในขณะตื่นเต้น  ประสบภาวะฉุกเฉิน  หรือในระยะเจ็บป่วย  โดยจะส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว  รูม่านตาขยาย  เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของร่างกายต่อสถานการณ์นั้นๆ
2.  ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก  ( Parasympathetic Nerve System )  เป็นระบบประสาทที่มีใยประสาทมาจากไขสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ  ก้นกบ  และเมดัลลาออบลองกาตา  (Medulla Oblongata ) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน  เส้นเลือดและต่อมต่างๆ  ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะทำงานได้ เช่น  ทำให้หัวใจเต้นชช้าลง  เส้นเลือดคลายตัว  ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ร่างกายทำงานมากเกินไป
ระบบประสาทอัตโนมัติท้ัง  2  ส่วนนี้ จะทำหน้าที่ในทิศทางที่ตรงกันข้ามเสมอ เช่น  ระบบประสาทซิมพาเทติกจะทำหน้าที่กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็ว  แต่ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะทำหน้าที่ให้หัวใจเต้นช้าลง  ทั้งนี้เพื่อรักษาความสมดุลของร่างกายให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติ

ระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system)

            ระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ สร้างและหลั่งพวกฮอร์โมน (Hormones) แล้วส่งออกนอกตัวเซลล์โดยผ่านทางกระแสเลือด หรือน้ำเหลืองไปยังเป้าหมาย คือ อวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ต่อมไร้ท่อบางชนิดสร้างฮอร์โมน ออกมาร่วมทำงาน หรือถูกควบคุมการหลั่งโดยระบบประสาท เรียกว่า neuroendocrine system
โดยทั่วไป ประกอบด้วย สองส่วนหลักคือ
1. Parenchyma (เนื้อต่อม)ประกอบ ด้วย เซลล์เนื้อผิวชนิดที่ เรียกว่า secretory cells และเป็นเซลล์สำคัญที่สร้างฮอร์โมน ซึ่งเซลล์เหล่านี้ อาจเรียงตัวเป็นกลุ่ม (clumps) ขดเป็นกลุ่ม (cord) หรือแผ่น (plates) โดยมีเส้นเลือดฝอยชนิด fenestrated หรือ sinusoid capillaries และเส้นน้ำเหลือง จำนวนมากแทรก เพื่อทำหน้าที่หล่อเลี้ยง และลำเรียงฮอร์โมน ออกจากเนื้อต่อมเข้าสู่วงจรไหลเวียน ของกระแสเลือดไปกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ ตามเป้าหมาย (target organs) ที่อยู่ห่างไกล
2. Stroma (โครงร่างพยุงเนื้อต่อม) ประกอบ ด้วย เนื้อประสานโดยให้เป็นเปลือกหุ้ม และโครงร่างให้เซลล์ของเนื้อต่อมเกาะ ในต่อมไร้ท่อบางชนิดพบมีส่วน ของเปลือกหุ้มยื่นเข้าไปแบ่งเนื้อต่อม ออกเป็นส่วน เรียกว่า Trabaeculae
ต่อมไร้ท่อแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. ต่อมที่พบอยู่เดี่ยว ได้แก่
I ต่อมใต้สมอง (Pituitary gland หรือ Hypophysis)
     ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ เช่น
1) Growth Hormone เป็นฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะ กระดูกและกล้ามเนื้อ
2) Thyroid Stimulating Hormone เป็นฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สร้าง ไทร็อกซินเพิ่มขึ้น
3) Gonadotrophic Hormone เป็นฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเซลล์สืบพันธุ์
4) Antidiuretic Hormone เป็นฮอร์โมนช่วยในการดูดน้ำกลับของท่อไต เพื่อรักษา ระดับน้ำของร่างกาย
5) Melatonin เป็นฮอร์โมนกระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นII ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland)
    ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ คือ ไทร็อกซิน โดยใช้ไอโอดีนเป็นวัตถุดิบในการ สร้างฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนไทร็อกซินมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
1) ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก สมอง และระบบประสาท
2) ช่วยในการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเมื่อเป็นผู้ใหญ่
3) ช่วยควบคุมอัตราเมตาบอลิซึมในร่างกาย
III. ต่อมพาราไทรอยด์ (Parathyroid gland) ผลิต ฮอร์โมนที่สำคัญชื่อพาราธอร์โมน ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการ ควบคุมเมตาบอลิซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย การสร้างกระดูกและควบคุมบทบาท ของวิตามินดีในร่างกาย โดยวิตามินดีจะรวมกับฮอร์โมนพาราธอร์โมนในการสลายแคลเซียมออก จากกระดูกเพื่อรักษาระดับปกติของแคลเซียมในพลาสมา
IV.ต่อมหมวกไต (Suprarenal หรือ Adrenal gland)  ผลิตฮอร์โมนสำคัญๆหลายชนิดเช่น อะดรีนาลินโดยอยู่เหนือไตทั้ง2ข้างมีหน้าที่ ควบคุมการไหลเวียนของโลหิตและการหดตัวของเลือด
       ต่อมหมวกไตแบ่งได้เป็นสองส่วนคือ (Pineal gland)
-ต่อม หมวกไตส่วนนอก(Adrenal cortex) สร้างฮอร์โมนกลุ่มสเตอรอยด์ได้แก่ กลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoid) เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมเมตาบอลิซึมของน้ำตาล ไขมัน และต้านการอักเสบ  อัลโดสเตอโรน(aldosterone) เพิ่มการดูดกลับของเกลือในไตเทสโทสเตอโรน เพิ่มลักษณะของร่างกายที่เป็นเพศชายและการเติบโต
-ต่อม หมวกไตส่วนใน (Adrenal medulla) สร้างฮอร์โมนอีพิเนฟฟริน (Epinephrine) และนอร์อีพิเนฟฟริน (norepinephrine) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน มีหน้าที่เพิ่มระดับน้ำตาลและกรดไขมันในเลือด เพิ่มอัตราเมตาบอลิซึม เพิ่มการเต้นของหัวใจ เพิ่มการบีบตัวของเส้นเลือด
V. ต่อมไพเนียล
  อยู่เหนือสมอง อยู่บริเวณกึ่งกลางของสมองส่วนซีรีบรัมซ้าย และขวา มีขนาดเท่ากับเม็ดข้าวมีสีแดงปนน้ำตาล เรียกชื่อเต็มว่าเอนอะเซทิลไฟฟ์เมทอคซิทริพทามีน( N acetyl -5- methoxytryptamine) เนื่องจากรูปร่างคล้ายลูกสน(pine cone) จึงเรียกว่าต่อมไพเนียล ในตอนกลางวันจะสร้างเซโรโตนิน กระตุ้นให้เราลุกตื่นขึ้น พอตกกลางคืนก็สร้างเมลาโตนินให้เรารู้สึกง่วงนอน จึงเปรียบเสมือนนาฬิกาชีวภาพ
2. พวกเซลล์ต่อมไร้ท่อที่กระจัดกระจายหรือเป็นกลุ่ม
โดย พบอยู่ร่วมกับพวกเซลล์ต่อมมีท่อ หรือร่วมกับอวัยวะอื่นของร่างกาย เช่น Islets of Langerhans of pancreas,Interstitial cells of Leydig in testis และ APUD cells (Amine Precursor Uptake and Decarboxylation) ซึ่งกลุ่มเซลล์ชนิดหลังสุดประกอบด้วย hormone-secreting cells สร้างและหลั่ง สารเคมีที่มีโครงสร้างคล้าย peptides และ active amines สารเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นฮอร์โมนหรือ neuro- transmitters พบเซลล์เหล่านี้ กระจัดกระจายแทรกในเนื้อผิว ที่ดาดในท่อทางเดินอาหาร ทางเดินลมหายใจ ในระบบไตและทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น APUD cells มีบางตัวกำเนิดมาจาก neuroectoderm เซลล์ในกลุ่มนี้บางตัว สามารถสาธิตให้เห็นในบทที่เกี่ยวกับ อวัยวะเหล่านั้น ยกเว้นพวก APUD cells เพราะส่วนใหญ่บ่งชี้ได้ ต้องย้อมสีพิเศษ หรือศึกษาในระดับ กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนimage002